75% ของการเสียชีวิตของคนไทย มาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่ง 22.05 ล้านคน ป่วยเป็นโรคที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมติดเค็ม ซึ่งคนไทยกินเค็มกว่าที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำถึง 2 เท่า นั่นคือ ราว ๆ 4,352 มิลลิกรัม/วัน ขณะที่เราไม่ควรกินเกิน 2,000 มิลลิกรัม/วัน
สูญเสียกันไปเท่าไหร่กับโรคที่เกิดจากการกินเค็ม? แน่นอนว่ามูลค่านั้นสูงทีเดียว การประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากพฤติกรรมติดเค็มสูงถึง 98,976 ล้านบาท/ปี จากค่ารักษาพยาบาลจากโรคหัวใจและหลอดเลือด กับไตวายระยะสุดท้าย
10,000,000 คน คือตัวเลขของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทย ซึ่งโรคดังกล่าวเป็นตัวตั้งส่งผลถึงอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะไต ที่ทำงานหนักขึ้น จนเป็น “ไตวายเรื้อรัง” และล้างไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เสียค่าใช้จ่ายต่อปีราว ๆ 200,000 บาท หากรวมค่ายาด้วยก็แตะค่าใช้จ่ายถึง 400,000 บาทต่อปีเลยทีเดียว
เราจึงไม่สามารถปล่อยให้ทีมแพทย์รักษาผู้ป่วยที่เกิดจากติดเค็มได้ฝ่ายเดียว ดังนั้นการป้องกันและให้ความรู้กับประชาชนเป็นเรื่องสำคัญมาก โครงการ “ลดเค็ม ลดโรค” ของโครงการรณรงค์ลดการบริโภคโซเดียมในประเทศไทย โดยการสนับสนุจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จึงเกิดขึ้น เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงโทษของการบริโภคโซเดียม และหันกลับมาบริโภคเค็มในระยะที่ปลอดภัย
เครื่องปรุงที่มีเกลือโซเดียม
ไม่ว่าจะเป็น ‘เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส กะปิ และซอสหอยนางรม’ นับเป็นเครื่องปรุงรสที่มีเกลือโซเดียมผสมทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้น คือพฤติกรรมของคนไทยที่เพิ่มรสเค็มลงไปในอาหาร เช่น เติมพริกน้ำปลาลงไปในข้าว เติมน้ำปลาลงในก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น จึงไม่แปลกที่ทำให้การบริโภคเค็ม/วัน เกินมาตรฐานของ WHO ไปถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
ปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส
เกลือ 1 ช้อนชา = 2,000 มิลลิกรัม
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ = 1,160-1,420 มิลลิกรัม
ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ = 690-1,420 มิลลิกรัม
ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ = 1,150 มิลลิกรัม
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ = 1,430-1,490 มิลลิกรัม
ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ = 420- 490 มิลลิกรัม
นอกจากเครื่องปรุงรสแล้ว อาหารที่คนไทยนิยมกินและมีปริมาณโซเดียมสูงมาก คือ ‘อาหารแปรรูป’ มาดูกันว่า อาหารแปรรูปแต่ละชนิดมีปริมาณโซเดียมอยู่เท่าไหร่
- ขนมปัง แผ่น 1 แผ่น = 120-140 มิลลิกรัม
- โดนัท 1 ชิ้น = 180 มิลลิกรัม
- ซาลาเปา 1 ชิ้น = 200 มิลลิกรัม
- ขนมเค้ก 1 ชิ้น = 400 มิลลิกรัม
- แหนมย่าง 1 ไม้ = 480 มิลลิกรัม
- ลูกชิ้นหมู 15 กรัม = 320 มิลลิกรัม
- โบโลน่าหมู 15 กรัม = 410 มิลลิกรัม
- หมูแผ่น 30 กรัม = 862 มิลลิกรัม
- หมูยอ 2 ช้อนโต๊ะ = 227 มิลลิกรัม
- ไข่เค็ม 1 ฟอง = 300-500 มิลลิกรัม
- โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป 1 ซอง = 1,900 มิลลิกรัม
- น้ำจิ้มข้าวมันไก่ 1 ช้อนโต๊ะ = 214 มิลลิกรัม
- น้ำจิ้มสุกี้ 1 ช้อนโต๊ะ = 280 มิลลิกรัม
- ซุปก้อน 1 ก้อน = 2,600 มิลลิกรัม
- ส้มตำปู 100 กรัม = 2,000 มิลลิกรัม
- ต้มยำปลากระป๋อง 100 กรัม = 3,000 มิลลิกรัม
- แกงเลียง โซเดียมเฉลี่ย = 800 มิลลิกรัม
- บะหมี่น้ำหมูแดง = 1,500 มิลลิกรัม
- ก๋วยจั๊บ = 1,450 มิลลิกรัม
- ผัดไท = 1,200 มิลลิกรัม
อาหารที่เรากินเข้าไป เผลอ ๆ แค่เพียง 1 มื้อ ก็ทำให้ปริมาณโซเดียมที่เราควรบริโภคก็เกินแล้ว แต่เราสามารถบอกแม่ค้า พ่อค้าได้ว่า ใส่น้ำปลาเล็กน้อย หรือไม่ใส่เลยก็ได้ ส่วนอาหารแปรรูปนั้นถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็เลือกกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนั้น เกิดจากพฤติกรรมการกินที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง หาก ‘ลดเค็ม’ ลงตั้งแต่วันนี้ พร้อมกับ “ลดหวาน ลดมัน” ด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้สุขภาพดี และห่างไกลจากโรคไม่ติอต่อเรื้อรังแน่นอน
สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องดูแลตัวเอง
ขอบคุณ Sanook