ศึกที่ทั้งโลกจับตาและดูเหมือนว่าจะไม่น่าจะจบลงง่ายๆ กับสงครามการค้าของสองมหาอำนาจของโลกระหว่าง “สหรัฐอเมริกา” กับ “จีน” ที่ต่างฝ่ายต่างก็ใช้มาตรการทางการค้าระหว่างกันจนทำให้เศรษฐกิจโลกเริ่มปั่นป่วนอย่างหนัก
โดยแทบจะทุกครั้งที่อีกฝ่ายเริ่มโจมตี อีกฝ่ายก็จะงัดทีเด็ดสวนกลับไปทันที โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ ที่มักจะใช้เรื่องของภาษีมากดดันจีน แต่เมื่อจีนสวนกลับก็ต้องถอยไปสงวนท่าทีกันใหม่
และกับล่าสุดที่พญาอินทรีใช้มาตรการที่คิดว่าเป็น “ไม้เด็ด” ใส่มังกร ก็คือการออกคำสั่งพิเศษ ไม่ให้ใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมจากจีนอย่างแบรนด์ “หัวเว่ย” ก่อนที่จีนจะทำให้หงายเงิบด้วยการห้ามส่งออก “แร่ธาตุ” ที่มะกันเองก็ต้องการอย่างมาก เพื่อใช้ในด้านเทคโนโลยี อาวุธ
อีกทั้ง ท่าทีของ “สีจิ้นผิง” ประธานาธิบดีของจีน ที่เดินทางไปเยือนโรงงานสกัดแร่หายาก หลังจากสหรัฐประกาศขึ้นบัญชีบริษัทหัวเว่ย ก็เป็นอีกหนึ่งบริบทของการแสดงออกถึงอำนาจให้โลกเห็น โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำพูดวาจาใดๆ ออกมา และมันทำให้สอดรับกับเหตุการณ์ที่ว่าห้ามส่งออกแร่ชนิดหายากไปสหรัฐฯด้วย เพียงเท่านี้ ก็ทำให้ “โดนัลด์ ทรัมป์” ต้องร้อนๆ หนาวๆ ทันที
มันจึงเกิดคำถามตามมาว่า “แร่ธาตุที่หายาก”ตัวที่ว่า มันสำคัญอย่างไรกัน
นักวิเคราะห์ที่เชี่่ยวชาญในแง่เศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ มองว่า จีนอาจจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากที่จำเป็นในการผลิตอุปกรณ์อิเลกทรอนิกทุกชนิด โดยเฉพาะโทรศัพท์ ซึ่งจะถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะตะวันตกไม่สามารถหาแร่ธาตุหายากได้เอง
แต่ที่น่าสนใจในแง่ของเศรษฐกิจ นั่นคือหลังข่าวที่กระพือออกไปว่ารัฐบาลปักกิ่งกำลังพิจารณา “ห้าม” ส่งออกแร่ธาตุชนิดนี้ ก็ทำให้มูลค่าราคาหุ้นของบรรดาเหมืองแร่ของจีนพุ่งทะยานเกิน 100% ซึ่งมันก็รวมไปถึงหุ้นบริษัท China Rare Earth Holdings ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมเหมืองแร่ของจีนที่สีจิ้นผิงไปเยือน
คำตอบจากคำถามข้างบนที่พันเกี่ยวกับความสำคัญของแร่ชนิดนี้ ก็เพราะว่า แร่ธาตุตัวนี้ที่เรียกกันว่า แร่ Rare Earth มันถูกนำมาใช้ในทุกๆ ผลิตภัณฑ์ของชีวิตประจำวันบนโลกมนุษย์ ไล่มาตั้งแต่ สมาร์ทโฟน แลปทอป รถไฮบริด ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้า และยังมีส่วนสำคัญสำหรับการสร้างอาวุธในโลกสมัยใหม่ อย่างเช่น ระบบนำวิถีขีปนาวุธ หรือแม้แต่ระบบอาวุธของเครื่องบินขับไล่ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้น เมื่อเราเห็นถึงความสำคัญของแร่ตัวนี้แล้ว จึงเป็นเหตุผลชั้นดีว่าทำไมสหรัฐฯ จึงหงายเงิบกับมาตรการที่เรียกว่า “ไม้เด็ด” ของจีนกับการเอาคืนไปดอกใหญ่ๆ
เพราะอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบอย่างหนักทีเดียว หากรัฐบาลมังกรสั่งห้ามส่งออกแร่ตัวนี้จริงๆ หรือแม้แต่การสั่ง “ลดจำนวน” การส่งออก ก็ทำให้โลกอาจได้ยินเสียงโอดครวญจากอุตสาหกรรมสหรัฐฯได้ง่าย นั่นเพราะจีนผูกขาดแร่ชนิดนี้ทั้งการผลิต หา ในสัดส่วนถึง 90% ของโลกใบนี้ที่จะหาเจอ และสหรัฐฯ เองก็นำเข้าแร่ตัวนี้จากจีนเพียงแห่งเดียวถึง 80%
แต่หากท้าวความกลับไป สหรัฐฯ เองก็เคยเป็น “เต้ย” ในวงการแร่หายากเหมือนกัน เพราะก่อนที่จะถึงปี 2533 สหรัฐฯ คือยักษ์ใหญ่ที่ผลิตแร่หายากได้มากที่สุดในโลก แต่หลังจากปีนั้นเอง จีนก็กลับมาผงาดหลังค้นพบว่าบ้านตัวเองก็มีแร่ที่หายากเหมือนกัน ขณะที่สหรัฐฯ กลับหาแร่ธาตุที่ต้องการไม่เจอในแผ่นดินตัวเองอีกต่อไป
และในปี 2561 จีนสกัดแร่ธาตุหายากได้ 120,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 15,000 ตันจากปีก่อน ขณะที่สหรัฐสกัดได้เพียง 15,000 ตัน ความแตกต่างมันจึงมีมากกว่า 10 เท่า
แถมจีนยังมีธาตุหายากสำรองอยู่ 44 ล้านตัน ส่วนสหรัฐมีเพียง 1.4 ล้านตันเท่านั้น
มาถึงตรงนี้ก็พอเห็นภาพแล้วว่าทำไมท่าทีของพญาอินทรีที่เคยแข็งกร้าว จึงยอมโอนอ่อนถอยห่างออกจากความเข้มงวด เพราะเมื่อมังกรเริ่มพ่นไฟด้วยอาวุธเด็ดที่อยู่ในมือของตัวเองเข้าใส่บ้าง ก็ทำให้เห็นภาพอนาคตของความวุ่นวายในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างเต็มๆ
ขอบคุณ Sanook