เปิดใจ 2 ชีวิต ตัวลูกป่วยเป็นโรคพุ่มพวงที่ต้องคอยดูแลแม่นอนป่วยติดเตียงสุดเวทนา
จากกรณีเมื่อวันที่ 28 ก.ย.60ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวส่วนภูมิภาค จ.สิงห์บุรี ได้รับแจ้งว่า มีเด็กอายุเพียง 11 ปี ดูแลแม่ที่พิการเดินไม่ได้เป็นคนไข้ติดเตียงอยู่กันแค่ 2 คนแม่ลูกในบ้านเลขที่ 17/3 หมู่ 5 ต.โพทะเล อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี จึงเดินทางไปดูที่บ้านเลขที่ดังกล่าว เป็นบ้านชั้นเดียว พบ ด.ช.วรภพ นวลนิศาชล หรือ น้องโอม อายุ 11 ปี เรียนอยู่ชั้น ป.5 โรงเรียนวัดโพทะเลสามัคคี ต.โพทะเล อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี กำลังป้อนข้าวให้แม่อยู่ คือ น.ส.วรัญญา นวลนิศาชล วัย 34 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงและยังเป็นโรค SLE (Systemic lupus erythematosus) หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (โรคพุ่มพวง) ทั้งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองมานานถึง 4 ปี น.ส.วรัญญา เผยว่า ตนแต่งงานมีลูก คือ น้องโอม เมื่ออายุ 23 ปี ตอนนั้นยังปกติดีอยู่ ต่อมาได้เลิกกับสามีซึ่งน้องโอมอายุยังไม่ถึง 1 ขวบ ตนเลยอยู่กับแม่ของตนและน้องโอมที่บ้านหลังนี้ และรู้ว่าตัวเองเป็นโรค โรค SLE (Systemic lupus erythematosus) หรือ โรคแพ้ภูมิตัวเอง (โรคพุ่มพวง) ต่อมาเมื่อตนอายุ 30 ปี ก็เริ่มเดินไม่ได้ ปวดหัว มีไข้ ก็ได้รับการเจาะไขสันหลังเพื่อหาสาเหตุ จนรู้ว่าตนเป็นโรคไขสันหลังติดเชื้อ จึงกลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน หลังจากนั้นก็เริ่มเดินไม่ได้ในที่สุดก็ต้องนอนเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถขยับร่างกายตั้งแต่หน้าอกลงไปถึงเท้าได้เลย และต้องขึ้นไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ตามใบนัดทุกครั้ง ในตอนนั้น น้องโอมอายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น ก็ได้ดูแลตนเอง ป้อนข้าว เช็ดตัวให้ นำปัสสาวะที่อยู่ในถุงปัสสาวะไปทิ้ง ช่วยแม่ตนหุงข้าว ทำกับข้าว ต่อมาแม่ของตนก็เสียชีวิตไปจึงเหลือตนกับ น้องโอม อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ 2 คน แม่ลูกภาระที่ต้องดูแลตนทุกอย่างจึงตกอยู่กับลูกชายเพียงคนเดียว ที่อายุเพียง 8 ขวบ จนถึงอายุ 11 ขวบในตอนนี้ เคราะห์กรรมยังไม่ห่างหายไปจากในครอบครัว น้องโอมที่มีอายุเพียงแค่นี้ก็ต้องมาตรวจเจอว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (โรคพุ่มพวง) แบบเดียวกับตน แถมยังเป็นโรคไตเฉียบพลันเพิ่มขึ้นมาด้วย จึงทำให้ น้องโอม ต้องอยู่บ้าน ไม่สามารถไปเรียนได้ตามปกติเหมือนเพื่อนๆ คนอื่นทั่วไป บางครั้งต้องหยุดเป็นเดือนๆ ขาดโอกาสในวัยเด็กเหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้ออกไปเล่น หรือ ร่วมกิจกรรม เพราะตัวน้องไม่สามารถโดนแดดได้เลย ซึ่งตนก็สงสารลูกมากที่ลูกต้องมารับผิดชอบภาระหน้าที่ทั้งหมดภายในบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย “คนเป็นแม่ก็อยากจะดูแลลูก ทำเพื่อลูกเหมือนครอบครัวอื่นๆ เขา ตนก็ทำไม่ได้ กลับกลายเป็นลูกที่ต้องมาดูแลเรา ทั้งๆที่ ช่วงนี้ลูกควรมีวัยของเขา เล่นกับเพื่อนๆ ไปโรงเรียนตามปกติ แต่ต้องมาคอยเฝ้าแม่ตลอดเวลา แต่ดีใจที่ลูกชายก็เข้าใจดี” ผู้เป็นแม่กล่าวทั้งน้ำตา
ล่าสุดวันที่ 2 ต.ค.60 ทีมข่าวเจอดีลงพื้นที่ไปที่ บ้านเลขที่ 17/3 หมู่ 5 ต.โพทะเล อ.ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี เพื่อไปพูดคุยกับ 2 แม่ลูกอีกครั้ง ซึ่งสังเกตได้ว่าบ้านที่พักอาศัยของ 2 แม่ลูกนั้น จัดด้วยความเรียบง่ายเพื่อ ง่ายต่อการหยิบใช้สอย ทางทีมข่าวจึงได้คุยเปิดใจกับ 2 แม่ลูกอีกครั้ง บรรยากาศอบอวนไปด้วยความเวทนา โยผู้เป็นแม่เผยถึงความรู้สึกที่สงสารลูกของตนที่ไม่สามารถใช้ชีวิตเด็กๆแบบคนอื่นได้ว่า ตนรู้สึกท้อ ที่ทำให้ลูกไม่มีเวลาเหมือนคนปกติทั่วไป ฝันไว้ว่าอยากพาลูกไปไหนมาไหนก็ทำไม่ได้ อยากเดินได้เหมือนคนอื่น ซึ่งตนเดินไม่ได้นานกว่า 4 ปีและมีแต่ทรุดลงเรื่อยๆ เพราะยาที่กินด้วยปริมาณเยอะมากๆทำให้ร่างกายแย่จนฉุดคิดไม่ได้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ห่วงลูกมาก ที่พยายามสอนสั่งทุกวันนี้เพราะอยากให้น้องเป็นเด็กดี ถึงจะไม่ได้พาไปไหนมาไหนเหมือนเด็กคนอื่นก็ยังรักน้องเหมือนเดิม และยังโทษตัวเองอีกว่า เพราะเธอทำให้ลูกเป็นโรคนี้ไปด้วยเพราะโรคนี้เป็นกรรมพันธุ์ และต้องมาเหนื่อยดูแลตนทั้งๆที่อายุยังน้อยอยู่ ทั้งนี้น้องโอมยังพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อแม่อีกด้วยว่า รักแม่มากอยากให้แม่หาย พูดไม่ทันจบก็โผเข้ากอดแม่ทันที Source: T-News