ศาลอุทรณ์ภาค 4 สั่งสาธารณสุขจ่ายเงินชดเชยทางแพ่ง 2.8 ล้านบาท ให้กับครอบครัว “น้องปาล์ม” เด็กน้อยเหยื่ออุบัติเหตุรถโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพฯ
ที่ศาลจังหวัดชุมแพ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้นัดฟังคำพิพากษาความแพ่ง คดี ด.ช.ปราบปราม เจิมขุนทด หรือน้องปาล์ม ในฐานะฝ่ายโจทก์ ซึ่งเป็นผู้พิการเนื่องจากถูกรถของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่ อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น ขับชนเมื่อปี 2558
เป็นเหตุให้น้องปาล์ม ขณะนั้นอายุเพียง 3 ขวบ มีอาการชาตั้งเเต่ราวนมจนถึงช่วงล่าง ไม่มีความรู้สึกเดินไม่ได้ อีกทั้งเวลาขับถ่ายไม่มีความรู้สึกต้องใส่แพมเพิสและปัสสาวะทางสายยาง
ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลแขวงขอนแก่น ได้มีคำพิพากษาให้นายเกต นาถมทอง อายุ 68 ปี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านของโรงพยาบาลดังกล่าวและเป็นคนขับรถ ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ปรับเป็นเงิน 3,000 บาท รอลงอาญา 2 ปี แต่คดีแพ่ง ทางผู้เสียหาย มี นายศราวุฒิ เจิมขุนทด พ่อของน้องปาล์ม ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ร่วมกับน้องปาล์มเป็นโจทก์ที่ 1 น้องปาล์มเป็นโจทก์ที่ 2 และนางสาวปวีณา หาทรัพย์ แม่ของน้องปาล์ม เป็นโจทก์ที่3 ร่วมกันฟ้องกระทรวงสาธารณสุข เป็นจำเลยที่ 1 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นจำเลยที่ 2
โดยฝ่ายโจทก์ได้ยื่นฟ้องค่าเสียหาย 3 ส่วน ประกอบด้วยโจทก์ที่ 1 คือพ่อน้องปาล์มเป็นเงินจำนวน 21,500 บาท โจทก์ที่ 2 คือน้องปาล์ม เป็นเงินจำนวน 8,371,324 บาท และโจทก์ที่ 3 คือแม่น้องปาล์ม เป็นเงินจำนวน 1,944,000 บาท และมีการไกล่เกลี่ยกันมาหลายครั้ง ลดหย่อนมาต่อเนื่อง จนฝ่ายโจทก์ยื่นขอเงินชดใช้เป็นเงินจำนวน 5,000,000 บาท ซึ่งทางจำเลยได้ไกล่เกลี่ยขอจ่ายเป็นเงินจำนวน 900,000 บาท แต่ฝ่ายโจทก์ปฏิเสธจนกระทั่งศาลชั้นต้นได้พิจารณาและมีคำพิพากษาความแพ่งให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ ที่ 2 เป็นเงินทั้งหมด 2,935,700 บาท และยกฟ้องโจทก์ที่ 1 และ 3 โดยจำเลยทั้ง 2 ได้ขอยื่นอุทธรณ์ต่อศาล
นายศราวุฒิ เจิมขุนทด อายุ 34 ปี พ่อของน้องปาล์ม กล่าวว่า วันนี้ครอบครัว ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งทุกคนน้อมรับคำตัดสิน โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาจำเลยทั้ง 2 คือกระทรวงสาธารณสุขและ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยศาลได้วินิจฉัยมาแล้วว่า นายเกตเป็นผู้กระทำโดยประมาทยิ่งกว่าโจทก์ที่ 1 และสมควรกำหนดให้จำเลยทั้ง 2 ซึ่งต้องรับผิดชอบในการกระทำของนายเกตดังกล่าวรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 2 แปดในสิบส่วน ฉะนั้นเมื่อโจทก์ที่ 2 เรียกร้องค่าเสียหายส่วนนี้มา 4,302,000 บาท
แต่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้ง 2 ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในส่วนที่เป็นค่าสูญเสียความสามารถในการประกอบอาชีพเป็นระยะเวลา 40 ปี ตั้งแต่อายุ 20 ปี ถึง 60 ปี เป็นเงิน 2,000,000 บาท นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข อุทธรณ์ของจำเลยทั้ง2ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายเกต นาถมทอง นำเงินค่าเสียหายจำนวน 104,300 บาท มอบให้แก่โจทก์ที่ 2 เพี่อเยียวยาค่าเสียหายแล้ว จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดค่าเสียหายอันเป็นค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงินทั้งสิ้น 2,834,800 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ก.ค.2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระแก่โจทก์ที่ 2
“ดีใจที่มีโอกาสได้พูดคุยกับทางนิติกรของฝ่ายจำเลย ที่คาดว่าจะไม่ยื่นฎีกา ส่วนตัวอยากจะขอให้ทางกระทรวงสาธารณะสุขได้พิจารณาชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวให้กับครอบครัว ไม่อยากจะให้ยื่นฎีกาเพราะเป็นเวลามานานร่วม 5 ปีแล้ว ครอบครัวของเราเป็นเพียงประชาชนธรรมดาไม่ได้คิดอยากจะสู้กับใครขอใช้ชีวิตเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเลี้ยงดูลูกต่อไป”
ณะที นางปวีณา หาทรัพย์ แม่ของน้องปาล์ม กล่าวว่า ขณะนี้อาการของน้องปาล์มดีขึ้น มีการพัฒนาระบบไขสันหลัง เริ่มมีการทรงตัวได้ แต่ยังอ่อนแรงอยู่ ไปไหนมาไหนต้องใช้รถเข็นตลอดเวลา ขณะนี้เรียนที่ศูนย์พิเศษ นนทบุรี ปากเกร็ด โดยช่วงนี้ไปบ้างไม่ไปบ้างเนื่องจากระยะทางที่ไกล โดยหลังจากเกิดเรื่องขึ้นตนเองก็ได้ลาออกจากงานมาดูแลลูกเพียงอย่างเดียว ตอนนี้ภาวนาให้มีปาฏิหาริย์ว่าน้องปาล์มจะสามารถกลับมาเดินได้ตามปกติอีกครั้ง ซึ่งจะดูอาการประมาณ 6-10 ปี หากนานกว่านี้จะต้องเป็นผู้พิการตลอดชีวิต ซึ่งยังมีความหวังเล็กๆอยู่บ้าง โดยทางครอบครัวก็ได้ทำการกายภาพให้น้องปาล์มทุกวัน
ด้าน น้องปาล์ม พูดคุยกับผู้สื่อข่าวว่า ต้องใช้รถเข็นตลอดเวลา อยากเดินได้ อยากวิ่งได้เหมือนเพื่อน และโตขึ้นมาอยากเป็นหมอรักษาคนไข้
ขอบคุณ Sanook